#คุณสมบัติโสดาบัน #ผลแห่งความเป็นโสดาบัน #ความเป็นโสดาบันประเสริฐกว่าเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
พุทธวจนฉบับ 2 คู่มือโสดาบัน ตอนที่ 2/2
เสียงอ่านโดย ภิกขุเอเอ อธิจิตฺโต
018-ผู้มีธัมมญาณและอันวยญาณ
019-ผู้สิ้นความสงสัยในกรณีของความเห็นที่เป็นไปในลักษณะยึดถือ
020-ผู้สิ้นความสงสัยในกรณีของความเห็นที่เป็นไปในลักษณะขาดสูญ
021-ผลแห่งความเป็นโสดาบัน
022-ความเป็นโสดาบันประเสริฐกว่าเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
023-ความเป็นโสดาบันไม่อาจแปรปรวน
024-สิ่งที่ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิทำไม่ได้โดยธรรมชาติ
025-ฐานะที่เป็นไปไม่ได้สำหรับผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ (นัยที่1)
026-ฐานะที่เป็นไปไม่ได้สำหรับผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ (นัยที่2)
027-ฐานะที่เป็นไปไม่ได้สำหรับผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ (นัยที่3)
028-อริยมรรคมีองค์แปด
029-คำที่ใช้เรียกแทนความเป็นโสดาบัน
030-สังโยชน์ 10
031-อริยญายธรรมคือการรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท
032-ฝุ่นปลายเล็บ
033-สามัญญผลในพุทธศาสนาเทียบกันไม่ได้กับในลัทธิอื่น
034-ลักษณะแห่งผู้เจริญอินทรีย์ขั้นอริยะ
035-โสดาบันกับพระอรหันต์ต่างกันในการเห็นธรรม
036-โสดาบันกับพระอรหันต์ต่างกันในการเห็นธรรม(อีกนัยหนึ่ง)
037-ความลดหลั่นแห่งอริยบุคคลผู้ปฏิบัติอย่างเดียวกัน
038-คนตกน้ำเจ็ดจำพวก
039-คนมีกิเลสตกนรกทั้งหมดทุกคนจริงหรือ
040-ผลแปดประการอันเป็นภาพรวมของความเป็นโสดาบัน
041-ระวังตายประตูนิพพาน
042-ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพระอริยเจ้า
043-ผู้สามารถละอาสวะทั้งหลายในส่วนที่ละได้ด้วยการเห็น
045-คุณสมบัติโสดาบัน (นัยที่ 1)
046-คุณสมบัติโสดาบัน (นัยที่ 2)
047-คุณสมบัติโสดาบัน (นัยที่ 3)
048-คุณสมบัติโสดาบัน (นัยที่ 4)
049-อานิสงส์ของธรรมสี่ประการ
050-ผู้ตั้งอยู่ในเสขภูมิ
051-คุณธรรมของผู้ต่ำกว่าโสตาปัตติมรรคและ…
052-ธรรมเจ็ดประการของผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล
053-ธรรมที่ควรสงเคราะห์
ศึกษาข้อมูลเพิ่มติมที่ http://watnapp.com
สืบค้นพระไตรปิฎกที่ https://etipitaka.com/read/thai/1/0/
ภาพประกอบจาก https://pixabay.com
19 Comments
รามอิทรา
สาธุสาธุสาธุครับ
🙏🙏🙏
,📀
,,🐛🐛
กราบสาธุสาธุสาธุเจ้าค่ะ
สาธุ
สาธุครับ ขอบคุณมากๆเลยครับ
ทำไมทานแบบไหนเป็นของคนเขลาคะ สาธุ
🙏🙇♂️🙏🙇♂️🙏🙇♂️
กราบอนุโมทนาสาธุเจ้าค่ะ
⚘🙏🙏🙏🌹
🌷14/2/2265🎋💯🦜📣
🙏🙏🙏🍀🍀🍀
พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ – ป.อ. ปยุตฺโต
สังโยชน์ กิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์, ธรรมที่มัดสัตว์ไว้กับทุกข์ มี ๑๐ อย่าง คือ
ก. โอรัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ได้แก่
๑. สักกายทิฏฐิ ความเห็นว่าเป็นตัวของตน
๒. วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย
๓. สีลัพพตปรามาส ความถือมั่นศีลพรต
๔. กามราคะ ความติดใจในกามคุณ
๕. ปฏิฆะ ความกระทบกระทั่งในใจ
ข. อุทธัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องสูง ๕ ได้แก่
๖. รูปราคะ ความติดใจในรูปธรรมอันประณีต
๗. อรูปราคะ ความติดใจในอรูปธรรม
๘. มานะ ความถือว่าตนเป็นนั่นเป็นนี่
๙. อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน
๑๐. อวิชชา ความไม่รู้จริง;
พระโสดาบัน ละสังโยชน์ ๓ ข้อต้นได้,
พระสกิทาคามี ทำสังโยชน์ข้อ ๔ และ ๕ ให้เบาบางลงด้วย,
พระอนาคามี ละสังโยชน์ ๕ ข้อต้นได้หมด,
พระอรหันต์ ละสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ข้อ;
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๑ ขุททกนิกาย มหานิทเทส
[๑๔๓] คำว่า พระอรหันต์นั้นผู้ล่วงแดนแล้ว ลอยบาปแล้ว รู้และเห็นแล้ว มิได้มี ความยึดถือ มีความว่า แดน ได้แก่
แดน ๔ อย่าง คือ
สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส อนุสัย คือทิฏฐิ อนุสัยคือวิจิกิจฉา และเหล่ากิเลสที่ตั้งอยู่ฝ่ายเดียวกัน นี้เป็นแดนที่ ๑.
สังโยชน์คือกามราคะ สังโยชน์คือปฏิฆะ อนุสัยคือกามราคะ อนุสัยคือปฏิฆะ ส่วนหยาบๆ และเหล่ากิเลสที่ตั้งอยู่ฝ่ายเดียวกัน นี้เป็นแดนที่ ๒.
สังโยชน์คือกามราคะ สังโยชน์คือปฏิฆะ อนุสัยคือกามราคะ อนุสัยคือปฏิฆะ ส่วนละเอียด และเหล่ากิเลสที่ตั้งอยู่ฝ่ายเดียวกัน นี้เป็น แดนที่ ๓
รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา อนุสัยคือมานะ อนุสัยคือภวราคะ อนุสัยคืออวิชชา และเหล่ากิเลสที่ตั้งอยู่ฝ่ายเดียวกัน นี้เป็นแดนที่ ๔.
เมื่อใด พระอรหันต์นั้นเป็นผู้ก้าวล่วง ก้าวล่วงด้วยดี ล่วงเลยแดน ๔ อย่างเหล่านี้ด้วยอริยมรรค ๔ เมื่อนั้น พระอรหันต์นั้น จึงเรียกว่าเป็นผู้ล่วงแดนแล้ว. คำว่า ผู้ลอยบาปแล้ว คือ ชื่อว่าผู้ลอยบาป เพราะเป็นผู้ลอยแล้วซึ่งธรรม ๗ ประการ ฯลฯ เป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยแล้ว เป็นผู้คงที่ ชื่อว่าเป็นพราหมณ์. คำว่านั้น ได้แก่พระอรหันต์ผู้ขีณาสพ. คำว่า รู้แล้ว คือรู้แล้วด้วยปรจิตญาณหรือด้วยปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คำว่า เห็นแล้ว คือเห็นแล้วด้วยมังสจักษุ หรือด้วยทิพยจักษุเพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พระอรหันต์นั้นผู้ล่วงแดนแล้ว ลอยบาปแล้ว รู้แล้ว และเห็นแล้วมิได้มี (ความยึดถือ). คำว่า ความยึดถือ คือ พระอรหันต์นั้น (มิได้มี) ความถือ ถือมั่นยึดมั่น ติดใจ น้อมใจไปว่า สิ่งนี้ยอดเยี่ยม เลิศ ประเสริฐ วิเศษ เป็นใหญ่ สูงสุด บวร.
คำว่า ไม่มี คือ ย่อมไม่มี ไม่ปรากฏ ไม่เข้าไปได้. ความยึดถือนั้น อันพระอรหันต์นั้นละตัดขาด สงบ ระงับ ทำไม่ให้ควรเกิดขึ้น เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าพระอรหันต์นั้นผู้ล่วงแดนแล้ว ลอยบาปแล้ว รู้และเห็นแล้ว มิได้มีความยึดถือ.
.
.
หมายเหตุ แดนที่ ๑ คือ พระโสดาบัน //แดนที่ ๑+๒ คือ พระสกิทาคามี //แดนที่ ๑+๓ คือ พระอนาคามี //แดนที่ ๑+๓+๔ คือ พระอรหันต์
น้อมกราบนมัสการพระอาจารย์และพระภิกษุสงฆ์ทุกรูปเจ้าค่ะ🙏🙏🙏ขออนุโมทนาสาธุในทุกๆบุญกับพระอาจารย์ทุกรูป และผู้มีบุญทุกท่านด้วยเทอญสาธุสาธุสาธุค่ะ
สาธุๆ🙏🙏🙏
สาธุค่ะ
ขอบพระคุณความรู้จากคู่มือพุทธวจนทำให้มีความเข้าใจเพื่อสามารถปฎิบัติเป็นนิจอันสร้างประโยชน์ให้แก่คนที่สนใจแต่หาศึกษาด้วยตนเอง