🕊 ยังไม่อยากให้จบเลยค่ะ หนังสือเล่มเล็กๆ เล่มนี้เหมือนมีพลังบางอย่างที่พออ่านแล้วยกระดับพลังงานให้สูงขึ้น และจะยังคงอยู่แบบนั้นจนกว่าจะมีความคิดหนักๆ เข้ามาแทรกแซง
เมื่อวานนี้เราพลังงานตกมากจากการปะทะกับพลังงานลบหลายๆ ครั้งในช่วงหลายวันที่ผ่านมา มันสะสมจนพลังงานตกฮวบไปเลย แต่พอได้อ่านบทสุดท้ายของหนังสือในวันนี้ก็รู้สึกว่าพลังดีๆ ได้กลับเข้ามาสู่ใจ รู้สึกอิ่มเอมในใจขึ้นอีกครั้ง หนังสือเล่มนี้เหมือนมีพลังวิเศษเลยค่ะ
บทนี้เกี่ยวกับพลังของความคิดค่ะ คุณลูกศรเขียนบางส่วนไว้ว่า
“…เมื่อคุณใช้ความคิดไปในทิศทางที่ให้พลังกับคุณคุณก็จะดึงดูดสิ่งที่ยกระดับจิตใจของคุณให้สูงขึ้นและยกระดับจิตวิญญาณของคุณด้วย… ”
“… ความคิดที่ทำให้คนเราอ่อนแอที่สุดคือความอับอาย
ที่ก่อให้เกิดความขายหน้าเสียเกียรติ การให้อภัยตัวเองจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ…
ในการที่จะขจัดความคิดแห่งความอับอายออกไป คุณต้องยินดีที่จะปลดปล่อยความคิดนี้ไปและมองพฤติกรรมในอดีตของคุณให้เป็นบทเรียนที่คุณได้เรียนรู้ และคุณก็เชื่อมต่อกับแหล่งพลังงานของคุณให ม่ผ่านการอธิษฐานจิตและการทำสมาธิ… ”
“… ถัดมาจากความอับอายจะเป็นความรู้สึกผิด
ความรู้สึกผิดนั้นจะผลาญเวลาปัจจุบันให้หมดไปกับการเอาสิ่งที่ผ่านไปแล้วมาหยุดตัวเองเอาไว้ ไม่ว่าความรู้สึกผิดจะมากมายแค่ไหน มันไม่สามารถนำเรากลับไปแก้ไขอดีตได้
การขจัดความรู้สึกผิดก็เหมือนกับการยกหินที่แบบไว้ที่บ่าออกไปความรู้สึกผิดถูกขจัดออกไป โดยความคิดที่ให้พลังคือความคิดที่เกี่ยวกับความรัก และความเคารพตัวเอง คุณให้พลังกับตัวเองเมื่อคุณรัก เคารพตัวเอง และทิ้งมาตรฐานแห่งความสมบูรณ์แบบออกไป ไม่ยอมให้เวลาของปัจจุบันขณะหมดไปกับความคิดที่ทำให้คุณท้อแท้ ผิดหวัง และบั่นทอนพลังของคุณ… ”
“… ต่อมาคือความคิดไม่ยินดียินร้ายกับอะไรทั้งสิ้น เป็นความคิดที่สิ้นหวังและกักขังคุณไว้ไม่ให้มีส่วนร่วมกับชีวิต ความคิดนี้จะบั่นทอนทั้งร่างกายจิตใจและจิตวิญญาณของคุณ… ”
“… อีกความคิดหนึ่งที่ทำให้คุณอ่อนแอลงก็คือ ความกลัว และความโกรธ…
ขอให้คุณจำเอาไว้ว่าความรักขับไล่ความกลัวออกไป… และคุณไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ความโกรธทำสิ่งที่ถูกต้องให้เกิดขึ้น หรือทำให้โลกนี้ดีขึ้น เมื่อคุณมีความสุขสงบมากขึ้น คุณจะมีเพียงความสุขสงบเอาไว้ส่งต่อให้กับผู้อื่นเท่านั้น ช่วงเวลาแห่งความท้อแท้ ข้องใจ จะไม่จุดชนวนความโกรธขึ้นในตัวคุณ แต่มันช่วยทำให้คุณเกิดความรู้สึกตัวและกระตุ้นให้คนพยายามหาทางออก…”
“… ทุกๆ ความคิดของความโกรธเคือง จะเคลื่อนคุณให้ออกห่างจากความรักไปสู่ความรุนแรงและความอาฆาตพยาบาท ซึ่งเป็นแรงที่กระตุ้นให้เกิดแรงต้าน ซึ่งมันบั่นทอนทุกๆ คน
ความคิดเหล่านี้คือ ความละอาย ความรู้สึกผิด การไม่รู้สึกรู้สากับอะไร ความกลัว และความโกรธ สิ่งเหล่านี้เป็นพลังงานที่บั่นทอนคุณ เป็นคลื่นความถี่ที่ต่ำ และมันจะถูกทำให้มลายหายไปได้โดยการนำคลื่นความถี่ที่สูงเข้ามายึดพื้นที่แทน…”
“…เมื่อคุณเปลี่ยนความคิดจากคลื่นความถี่ต่ำไปสู่คลื่นความถี่ที่สูง คุณก็ย้ายจากความอ่อนแอมาสู่ความเข้มแข็ง เมื่อความคิดของคุณเอาแต่กล่าวโทษคนอื่น คุณก็ทำตัวเองให้อ่อนแอลง แต่เมื่อความคิดเปลี่ยนไปเป็นความรักและไว้ใจผู้อื่น คุณก็เข้มแข็งขึ้น ความคิดของคุณมักมาพร้อมกับพลังงาน เพราะฉะนั้นคุณอาจเลือกที่จะเปลี่ยนความคิดไปคิดในด้านที่ให้พลังกลับตัวเอง…”
“…เมื่อคุณรู้ว่าสิ่งที่คุณคิด เป็นที่มาของประสบการณ์ในชีวิต คุณจะระมัดระวังความคิดของคุณในทุกๆ ชั่วขณะ กล่าวคือความคิดก่อให้เกิดความรู้สึก ซึ่งนั่นก็หมายถึงประสบการณ์ ณ ตอนนี้ของชีวิตคุณ…”
” …ความคิดที่ให้พลังอย่างมากที่คุณสามารถมีได้คือ ความคิดที่เป็นความสุขสงบ ความปิติ ความรัก การยอมรับ และความเต็มใจ ความคิดเหล่านี้ไม่สร้างแรงต้านให้เกิดขึ้น ความคิดที่ทรงพลังปลื้มปิติและมีความรักนั้น ต่อยอดมาจากการที่คุณเต็มใจที่จะอนุญาตให้โลกนี้เป็นอย่างที่มันเป็น แล้วสภาวะข้างในของคุณจะเต็มไปด้วยความสุข…”
บทที่ 10 ผู้มีปัญญาจะหลีกเลี่ยงทุกความคิดที่บั่นทอนเขา
#หนังสือ #แค่เปลี่ยนที่ใจโลกทั้งใบก็เปลี่ยนตาม
โดยคุณคณิตศร เอี่ยมวงษ์ศรีกุล
2562/ISBN : 9786160833634
#สจีย์บันทึก
#วินัย #routine #พัฒนาตนเอง #อ่านหนังสือ #วันละนิด
No Comments